บทเรียนหายนะซีเซียม-137 ที่เริ่มจาก คนเก็บขยะ และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ซีเซียม : บทเรียนหายนะซีเซียม-137 ที่เริ่มจาก "คนเก็บขยะ" และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
วินาทีที่พี่ชายมอบหินที่ส่องแสงเรืองรองสีฟ้าให้เขา เออร์เนสโต ฟาเบียโน รู้สึกได้เลยว่า ชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปตลอดกาล และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ในทิศทางที่เขาไม่คาดคิดว่า เพราะสิ่งที่เขาและคนในชุมชนต้องเผชิญ คือ วิกฤตกัมมันตรังสีร้ายแรงที่สุดของโลกเกิดขึ้นนอกโรงงานนิวเคลียร์
ย้อนไปเมื่อวันที่ 10-13 ก.ย. ปี 1987 คนเก็บขยะ 2 คนได้ลอบเข้าไปในคลินิกรักษาโรคมะเร็งแห่งหนึ่งในเมืองโกยาเนีย ห่างจากกรุงบราซิเลียของบราซิล ราว 200 กิโลเมตร
ก่อนหน้านั้นในปี 1985 คลินิกแห่งนี้ได้ย้ายออกจากเมืองโกยาเนีย แต่ไม่ได้ดำเนินการกับเครื่องมือแพทย์หลายชิ้น รวมถึงเครื่องบำบัดด้วยรังสี อย่างถูกต้อง ทำให้หลายชิ้นยังคงอยู่ภายในคลินิกที่รกร้าง
สิ่งที่คนเก็บขยะพบในคลินิกร้างแห่งนี้ คือ อุปกรณ์รักษาด้วยรังสี สำหรับบำบัดผู้ป่วยโรคมะเร็ง ต่อมาพวกเขานำแคปซูลที่อยู่ภายในไปขายที่ร้านขายของเก่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิกฤตนิวเคลียร์ครั้งร้ายแรงที่สุดในโลก ที่เกิดขึ้นนอกโรงงานนิวเคลียร์
หินเรืองแสงสีฟ้า
บีบีซีรายงานอ้างอิง รายงานของทบวงการพลังงานประมาณูระหว่างประเทศ ที่เผยแพร่ออกมาในปี 1988 ว่า หลังคนเก็บขยะขโมยอุปกรณ์บำบัดด้วยรังสี ที่พวกเขาไม่รู้ว่าแท้จริงนั้นคืออะไร กลับไปบ้าน พวกเขาเริ่มป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- 13 ก.ย. : เริ่มอาเจียนออกมา แต่เชื่อว่า คงกินของผิดสำแดงเข้าไป
- 14 ก.ย. : เริ่มมีอาการท้องเสีย มือข้างหนึ่งมีอาการบวม
- 15 ก.ย. : พวกเขาไปหาหมอ
ถึงจะป่วยอย่างเป็นปริศนา แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้สงสัยว่า สาเหตุจะมาจากสิ่งที่ขโมยมา หลังความพยายามแงะอุปกรณ์ออกหลายวัน คนเก็บขยะของคนนี้ ก็ทำสำเร็จ โดยสิ่งที่พวกเขาพบภายในอุปกรณ์ที่แงะฝาออก คือ แคปซูลทำจากเหล็กและตะกั่ว ที่บรรจุซีเซียม-137 ขนาด 19 กรัม ซึ่งต่อมาเขาได้ขายให้กับร้านขายของเก่าของ อัลเวส เฟอร์เรียรา
คืนวันที่ 18. ก.ย. เฟอร์เรียรา สังเกตเห็นว่า แคปซูลที่เขาซื้อมาจากคนเก็บขยะ ได้ส่องแสงสีฟ้าเรืองรองออกมาในเวลากลางคืน
ตลอด 3 วันต่อจากนั้น เขาได้นำแคปซูลไปให้เพื่อนบ้านและญาติ ๆ ดูความสวยงามของหินเล็ก ๆ มากมายที่เรืองแสงสีฟ้าอยู่ภายในแคปซูล เฟอร์เรียรา มองว่ามันเหมือน “อัญมณี” เล็กจิ๋ว
ต่อมาวันที่ 21 ก.ย. เฟอร์เรียราและเพื่อน ได้ใช้ไขควงแงะแคปซูลออก เพื่อนำหินขนาดจิ๋วมากมาย แต่ละก้อนมีขนาดเท่ากับเม็ดข้าว
หินเหล่านี้เปราะบางมาก พอสัมผัสแรงไป มันก็จะกลายเป็นผุยผง
เขาได้มอบผงเรืองแสงบางส่วนให้เพื่อนของเขา ที่นำไปให้กับน้องชายคือ เออร์เนสโต ฟาเบียโน ซึ่งเล่าให้สำนักข่าวเอพีฟังในอีกหลายสิบปีต่อมาว่า “ผมเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล”
หายนะซีเซียม-137
กลับไปที่เจ้าของร้านขายของเก่า, เฟอร์เรียรา นำหินเรืองแสงที่เหลือจากการแจกจ่ายให้คนรู้จักกลับไปบ้าน และแบ่งให้คนในครอบครัว พวกเขาลูบคลำและนำมันไปแปะตามผิวหนัง เพราะมันเรืองแสงสวยงาม จนเหมือนกากเพชรประดับร่างกายเวลามีงานเทศกาล
ไม่กี่วันต่อจากนั้น คนรอบตัวของเฟอร์เรียรา ทั้งเพื่อน เพื่อนบ้าน ภรรยา และคนในครอบครัวของเขา เริ่มล้มป่วยด้วยอาการคล้าย ๆ กัน คือ ท้องเสีย อาเจียน มีไข้สูง และผมร่วง
ภรรยาของเฟอร์เรียราเจ้าของร้านขายของเก่า ที่ชื่อว่า มาเรีย กาบรีเอลา เป็นคนแรกที่สงสัยว่าแคปซูลบรรจุหินเรืองแสงสีฟ้านี้เอง ที่เป็นต้นเหตุ
“มาเรีย กาบรีเอลา แคปซูลบรรจุผงเหล่านี้ใส่ลงถุงพลาสติก แล้วนั่งรถโดยสารประจำทางไปยังสถานีอนามัยท้องถิ่น แต่คนที่นั่นไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร แต่พวกเขาก็เก็บมันไว้” เพื่อนบ้านของกาบรีเอลา เล่าให้บีบีซีฟังถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น
จนถึงเวลานี้ มีคนล้มป่วยนับสิบคน และแพทย์ที่โรงพยาบาลเริ่มสงสัยแล้วว่า นี่อาจเป็นเหตุการณ์กัมมันตรังสี จึงขอให้นักฟิสิกส์ทางการแพทย์คนหนึ่งมาตรวจสอบแคปซูล
นักฟิสิกส์คนนี้ คือ วอลเตอร์ เฟเฮียลา, เขาได้ยืมอุปกรณ์ตรวจจับกัมมันตรังสี จากสำนักงานด้านวัตตุกัมมันตรังสีในพื้นที่ แล้วไปที่สำนักอนามัย “แต่พอผมเข้าไปใกล้สำนักอนามัย ห่างออกไปแค่ 18 เมตร อุปกรณ์ตรวจจับกัมมันตรังสีเริ่มมีปฏิกิริยาแปลก ๆ แต่ผมคิดว่าอุปกรณ์มันเสีย” เขาบอกกับบีบีซี
เขาจึงนำอุปกรณ์กลับไปที่สำนักงานด้านวัตถุกัมมันตรังสี ซึ่งให้อุปกรณ์ชิ้นใหม่มา เขากลับไปที่สถานีอนามัยอีกครั้ง แต่อุปกรณ์ก็แสดงปฏิกิริยาเดียวกันอีก เมื่อเข้าใกล้สถานีอนามัย
นั่นหมายความว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะผมอยู่ในพื้นที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีสูง หรือไม่ก็อุปกรณ์ 2 เครื่องเสียแน่ ๆ”
สิ่งที่เขาเห็นต่อมา ทำให้เขาแทบหัวใจวาย เพราะเขาเห็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ถือแคปซูลออกมาจากสำนักอนามัย เพื่อนำไปทิ้งแม่น้ำ “ผมเลยบอกว่า พระเจ้าช่วย อย่าทำนะ”
จากนั้น เขาอพยพผู้คนในสถานีอนามัยออกมาเพื่อความปลอดภัย โดยคนของสถานีฯ บอกเขาว่า ผู้หญิงคนหนึ่งจากร้านขายของเก่าเป็นคนนำแคปซูลนี้มาส่ง
“ผมจึงไปที่ร้านขายของเก่า แต่ก่อนจะก้าวเข้าไป อุปกรณ์ก็ตรวจจับกัมมันตรังสีได้ทั่วพื้นที่นั้นเลย” เขาจึงติดต่อรัฐบาลท้องถิ่น และคณะกรรมการนิวเคลียร์แห่งบราซิล เพื่อแจ้งเหตุ
ตาย 4 ป่วยหลายร้อย เฝ้าระวังกว่าแสน
สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ฟาเบียโน น้องชายของเพื่อนเจ้าของร้านขายของเก่า เมื่อได้รับหินเรืองแสงมาแล้ว เขาห่อมันในผ้าเช็ดหน้า ยัดใส่กระเป๋ากางเกง แล้วไปที่บาร์ในพื้นที่เพื่อดื่มสังสรรค์ ก่อนกลับไปบ้าน ซึ่งนำหินเรืองแสงให้ภรรยาดู และสงสัยว่า “มันเป็นผงเวทมนต์หรือเปล่า”
สัปดาห์ต่อมา เขาอยู่ในห้องรักษาผู้ป่วยวิกฤตของโรงพยาบาลในนครริโอ เด จาเนโร ด้วยอาการปวดหัว วิงเวียนศีรษะ อาเจียน ปวดบวมตามร่างกาย ขาบวมแดงหนัก จนศัลยแพทย์ต้องกรีดเนื้อตายออกมา
ฟาเบียโน ไม่ได้เจ็บป่วยในลักษณะนี้เพียงคนเดียว แต่มีอีก 13 คน ที่เคยได้สัมผัสใกล้ชิดกับหินเรืองแสง แต่ต่อมาต้องเข้าห้องไอซียู และไม่กี่วันต่อมา มีคนเสียชีวิต 4 คน รวมถึงหลานสาวของเฟอร์เรียรา ชื่อ ลีเด เฟอร์เรียรา
ความตื่นตระหนกปะทุขึ้นในชุมชน คนที่ได้สัมผัสกับซีเซียม-137 แม้จะไม่โดยตรง เริ่มทยอยเข้าโรงพยาบาลมากขึ้น ประชาชนหลายพันคนแห่กันไปโรงพยาบาล เพราะกลัวว่า พวกเขาอาจได้รับการปนเปื้อนกัมมันตรังสี
ตลอด 16 วัน นับแต่วัตถุซีเซียม-137 ถูกขโมยออกมาจากคลินิกรักษาโรคมะเร็ง ก่อนเปลี่ยนมือ และเดินทางไปทั่วเมือง มีผู้ถูกกัมมันตรังสีปนเปื้อนนับร้อยคน คนที่สัมผัสโดยตรง มีค่ากัมมันตรังสีระหว่าง 400-1,000 เรม (หน่วยปริมาณรังสีสมมูล) หรือเทียบเท่ากับเหยื่อเหตุทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในฮิโรชิมะ และนางาซากิของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับ
สรุปแล้ว มีผู้เสียชีวิตจากเหตุกัมมันตรังสี 4 คนในปีนี้ มีผู้ป่วยได้รับกัมมันตรังสีต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล 249 คน และผู้คนกว่า 100,000 คน ต้องเฝ้าระวัง โดยผู้คนในเวลานั้น รวมถึงสื่อ รายงานว่า นี่อาจเป็นวิกฤตนิวเคลียร์ครั้งร้ายแรงที่สุด นับแต่เหตุการณ์เชอร์โนบิลในยูเครนก็เป็นได้
หลายปีต่อจากนี้ มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่เชื่อมโยงกับกัมมันตรังสีอีก 3 คนในชุมชน รวมถึงตัวเฟอร์เรรา เจ้าของร้านขายของเก่า ที่เสียชีวิตในปี 1994 จากโรคตับแข็ง
ปัจจุบัน สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ร้านขายของเก่า สถานที่ที่แคปซูลถูกเปิดออก ได้ถูกทิ้งร้าง ส่วนคลินิกโรคมะเร็งที่คนเก็บขยะ 2 คน เข้าไปขโมยวัตถุกัมมันตรังสี ถูกสร้างทับด้วยศูนย์ชุมชน แต่ไม่มีป้าย หรืออนุสรณ์ใด ๆ ตั้งไว้ เพื่อเตือนใจถึงโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้น
ส่วนสารซีเซียม-137 และสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสี รวมน้ำหนักกว่า 6,000 ตัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ ส่วนของอาคาร แม้กระทั่งดิน ได้ถูกบรรจุใส่ถังและตู้คอนเทนเนอร์เหล็ก ฝังกลบลงในบ่อ